09 ยิงประตู 38 ประตู เป็นส่วนสำคัญของทีมในการชนะ 3 รายการในฤดูกาลเดียว แต่แล้วสถิตินี้ก็ถูกบดบังไปในฤดูกาลถัดมา ฤดูกาล 2009–10 ที่เมสซียิงประตูไป 47 ประตูในทุกการแข่งขัน เทียบเท่าสถิติของโรนัลโดที่เคยทำให้กับบาร์เซโลนา แต่เขาก็ทำลายสถิตินี้ในฤดูกาล 2010–11 กับประตู 53 ประตูในทุกการแข่งขัน
เลียวเนล อันเดรส "เลโอ" เมสซี (สเปน: Lionel Andrés "Leo" Messi ออกเสียง: [ljoˈnel anˈdɾes ˈmesi]) เกิดเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน ค.ศ. 1987 เป็นนักฟุตบอลชาวอาร์เจนตินา ปัจจุบันเล่นอยู่ในสโมสรฟุตบอลบาร์เซโลนาและฟุตบอลทีมชาติอาร์เจนตินา ในตำแหน่งกองหน้าหรือปีก เขายังถือสัญชาติสเปนอีกด้วย ซึ่งทำให้เขาถือว่าเป็นนักฟุตบอลยุโรป เขาเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่ดีที่สุดในรุ่นของเขา[4][5][6] และมักถูกกล่าวถึงว่าเป็นผู้เล่นร่วมสมัยที่ดีที่สุดในโลก
เมสซีได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของทวีปยุโรปและรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของโลกแห่งปีเมื่อเขาอายุ 21 ปี และได้รับรางวัลในปี ค.ศ. 2009 (นักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของทวีปยุโรปและรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของโลกแห่งปี ค.ศ. 2009)[7][8][9][10] และได้รับรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปี ค.ศ. 2010[11] ,2011 และ 2012 สไตล์การเล่นของเขาและความสามารถ มักถูกเปรียบเทียบเสมอเดียโก มาราโดนา ซึ่งพูดถึงเมสซีว่าเป็นผู้สืบทอดจากเขา
เมสซีเริ่มเล่นฟุตบอลตั้งแต่อายุยังน้อยและบาร์เซโลนาก็ค้นพบแนวโน้มที่ดีของเขาอย่างรวดเร็ว เขาออกจากทีมเยาวชนสโมสรกีฬานิวเวลส์โอลด์บอยส์ เมืองโรซารีโอ เมื่อปี ค.ศ. 2000 และย้ายพร้อมครอบครัวไปอยู่ยุโรป โดยบาร์เซโลนาเสนอในการรักษาภาวะขาดฮอร์โมนการเจริญเติบโตให้กับเมสซี เขาเปิดตัวครั้งแรกในฤดูกาล 2004–05 โดยทำลายสถิติทีม โดยเป็นผู้เล่นที่อายุน้อยที่สุดที่ทำประตูในลีก เกียรติประวัติในฤดูกาลแรกของเขาคือชนะการแข่งขันในลาลีกา และชนะครั้งที่ 2 ในลีก รวมถึงในแชมเปียนส์ลีก ในปี ค.ศ. 2006 ฤดูกาลแจ้งเกิดของเขาคือฤดูกาล 2006–07 เขาเป็นผู้เล่นในทีมชุดใหญ่เต็มตัว โดยทำแฮตทริกในเอลกลาซีโก จบฤดูกาลยิงประตู 14 ประตู ใน 26 เกมในลีก จากนั้นเมสซีก็ประสบความสำเร็จที่สุดในอาชีพของเขาในฤดูกาล 2008–
ประวัติ เนย์มาร์
ชื่อ-นามสกุล : “เนย์มาร์” ดา ซิลวา ซานโต๊ส จูเนียร์
วันเดือนปีเกิด : วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 1992
สถานที่เกิด : โมกิ ดาส ครูซเซส ประเทศบราซิล
ส่วนสูง : 174 เซนติเมตร
อาชีพ : นักฟุตบอล (กองหน้า)
กองหน้าดาวรุ่งทีมชาติบราซิล ยอมรับแล้วว่า ตนเองจะย้ายจาก ซานโต๊ส ในบ้านเกิด ไปค้าแข้งกับทีม บาร์เซโลนา ในสเปน หลังจากเนื้อหอมได้รับความสนใจจากหลายทีมยักษ์ใหญ่ของยุโรปในช่วงหลายปีที่ผ่านมา…
ประวัติครอบครัว
- เนย์มาร์ เกิดที่ โมกี ดาส ครูเซส เซาเปาโล โดยมีพ่อแม่ชื่อว่า เนย์มาร์ ดา ซิลวา ซีเนียร์ อดีตนักฟุตบอล และ นาดิเน ซานโตส โดย ปัจจุบัน พ่อของเขา กลายเป็นที่ปรึกษาส่วนตัวของ เนย์มาร์
- เนย์มาร์ เติบโตมาพร้อมกับการรักในการเล่นฟุตซอล และ สตรีทฟุตบอล
- ในปี 1992 เนย์มาร์ ยังไปอยู่กับ ครอบครัว ที่ เซา บิเซนเต และเป็นจุดเริ่มของการเล่นฟุตบอลระดับเยาวชนกับทีม โปรตุเกซา ซานติสตา จากนั้น ในปี 2003 ครอบครัว ย้ายไปที่ เซาเปาโล และ เนย์มาร์ ก็ได้ร่วมทีม ซานโต๊ส เอฟซี ก่อนจะประสบความสำเร็จอย่างเหลือเชื่อ นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
- ในเดือนพ.ค.ปี 2011 เนย์มาร์ เพิ่งรู้ว่า ตัวเองมีลูกชาย ชื่อว่า “ดาวี ลุซซี” ซึ่งเกิดเมื่อเดือนส.ค.ปี 2011 กับสาววัย 17 ปี และอีก 4 วันหลังจากนั้น เขาก็ประกาศอย่างเป็นทางการผ่านเว็บไซต์ตนเอง ว่าเขากลายเป็นพ่อคน เมื่อตอนอายุเพียง 19 ปี อย่างไรก็ตาม ก็ไม่มีการเปิดเผยข้อมูลของหญิงสาวผู้เป็นแม่รายนี้
ประวัติการเล่น
ระดับอาชีพ 2009- ปัจจุบัน บาร์เซโลนา
ระดับอาชีพ 2009- ปัจจุบัน บาร์เซโลนา
ระดับเยาวชน 2003-2009 ซานโต๊ส
ระดับทีมชาติ
2010-ปัจจุบัน ทีมชาติบราซิลชุดใหญ่
2009-2011 ทีมชาติบราซิล ชุดยู-17,ยู-20
2010-ปัจจุบัน ทีมชาติบราซิลชุดใหญ่
2009-2011 ทีมชาติบราซิล ชุดยู-17,ยู-20
ผลงานและเกียรติประวัติที่ผ่านมา
ระดับสโมสร
- โคปา เดอ บราซิล : 2010
- คัมปิโอนาโต เปาลิสตา : 2010, 2011, 2012
- โคปา ลิเบอร์ตาดอเรส : 2011
- เรโคปา ซูดาเมริกานา : 2012
ระดับสโมสร
- โคปา เดอ บราซิล : 2010
- คัมปิโอนาโต เปาลิสตา : 2010, 2011, 2012
- โคปา ลิเบอร์ตาดอเรส : 2011
- เรโคปา ซูดาเมริกานา : 2012
ระดับทีมชาติ
- ฟุตบอลเยาวชนชิงแชมป์อเมริกาใต้ : 2011
- ซุปเปอร์คลาสิโก เดอ ลาส อเมริกาส : 2011, 2012
- เหรียญเงิน โอลิมปิกเกมส์ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ : 2012
- ฟุตบอลเยาวชนชิงแชมป์อเมริกาใต้ : 2011
- ซุปเปอร์คลาสิโก เดอ ลาส อเมริกาส : 2011, 2012
- เหรียญเงิน โอลิมปิกเกมส์ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ : 2012
โรนัลโด้ เริ่มอาชีพค้าแข้งกับ สปอร์ติ้ง ลิสบอน เมื่อปี 1997 ในทีมระดับเยาวชน ก่อนที่เขาจะค่อยๆ ก้าวขึ้นสู่ชุดใหญ่ได้สำเร็จ ในปี 2001 ภายหลัง พัฒนาฝีเท้าขึ้นจาก ทีมยู-16, ยู-17, ยู-18 และ ทีมชุดบี ตามลำดับ และเมื่อ อายุ 17 ปี โรนัลโด้ ได้ลงเล่นในทีมชุดใหญ่ของ สปอร์ติ้ง เป็นครั้งแรก และยิง 2 ประตู ในเกมที่พบกับ โมไรเรนส์ และเขาก็ยังก้าวไปติดทีมชาติโปรตุเกสชุดอายุต่ำกว่า 17 ปีในศึกชิงแชมป์ยุโรป อีกด้วย
ฝีเท้าของเขามาเตะตา เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ผู้จัดการทีมแมเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในช่วงที่พา "ปีศาจแดง" ไปลงเตะอุ่นเครื่องกับ สปอร์ติ้ง ลิสบอน ในช่วงก่อนเปิดฤดูกาล 2003/2004 ซึ่งนักเตะของ "ปีศาจแดง" โดนโรนัลโด้ ใช้ทักษะอันยอดเยี่ยม สร้างความปั่นป่วนให้ทั้งเกมการแข่งขัน และช่วยให้ สปอร์ติ้ง เอาชนะ ยอดทีมจากเกาะอังกฤษ ไปได้ 3-1 จนนำมาสู่การจัดการซื้อตัว โรนัลโด้ มาสู่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ด้วยค่าตัว 12.24 ล้านปอนด์ (771 ล้านบาท) เพื่อมาเป็นตัวตายตัวแทนของ เดวิด เบ็คแฮม ที่ย้ายไปร่วมทีมรีล มาดริด
นับตั้งแต่ที่ โรนัลโด้ ย้ายมาร่วมทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เขาก็ได้รับทั้งคำชื่นชมอย่างมากมายในเรื่องทักษะ ความสามารถส่วนตัวของเขา โดยในฤดูกาล 2003-2004 ซึ่งเป็นฤดูกาลแรกของ โรนัลโด้ เขาต้องพบกับความกดดัน ในการเข้ามารับตำแหน่งหมายเลข 7 ของทีมต่อจาก เบ็คแฮม และบรรดานักเตะระดับตำนานของ "ปีศาจแดง" ที่เคยใช้เบอร์นี้ในสีเสื้อ ยูไนเต็ด ไม่ว่าจะเป็น เอริค คันโตน่า, จอร์จ เบสต์ หรือ บ็อบบี้ ชาร์ลตัน ท่ามกลางความคาดหวังอย่างมากจากแฟนบอล จนทำให้เขาเคยไปขอเปลี่ยนเบอร์เสื้อจากหมายเลข 7 กลับไปเป็นหมายเลข 28 ที่เขาเคยใส่ในสมัยที่อยู่กับ สปอร์ติ้ง ลิสบอน แต่ก็ถูกทางสโมสร ปฏิเสธ เพราะเชื่อว่า โรนัลโด้ เหมาะสมกับการสืบทอดตำนานหมายเลข 7 ของ "ปีศาจแดง" ต่อไป
โรนัลโด้ ลงสนามให้ทีม”ปีศาจแดง” ครั้งแรกในเกมทีมถล่ม โบลตัน วันเดอเรอร์ส โดยเขาถูกเปลี่ยนเป็นตัวสำรองลงสนามในนาทีที่ 60 ของเกม และใช้เวลาไม่นานนักในการปรับตัวให้เข้ากับพรีเมียร์ชิพ และผลงาน 8 ประตู จากการลงสนาม 39 นัด ซึ่งรวมถึงประตูแรกของเขา ในรอบชิงชนะเลิศเอฟเอ คัพ ที่เอาชนะ มิลล์วอลล์ 3-0 ที่มิลเลเนี่ยม สเตเดี้ยม ก็ทำให้เขาได้รับรางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมแห่งปีของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (Sir Matt Busby Player of the Year) ประจำฤดูกาล 2003/04
แม้ว่า หลังศึกฟุตบอลโลก 2006 ที่ประเทศ เยอรมัน โรนัลโด้ ถูกแฟนบอลอังกฤษรุมโห่ไล่หลังจากที่มีส่วนทำให้ เวย์น รูนี่ย์ เพื่อนร่วมทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ต้องถูกไล่ออกในเกมที่อังกฤษพบกับโปรตุเกส โรนัลโด้ถูกสื่อในอังกฤษกดดันและต่อว่า อย่างไรก็ดี โรนัลโด้ยังคงเล่นให้กับทีม “ปีศาจแดง” ต่อไป และเขาก็พาทีมออกสตาร์ตฤดูกาล 2006-2007 ได้อย่างสวยหรู ด้วยการถล่ม ฟูแล่ม ไปถึง 5-1 หลังจากนั้น โรนัลโด้ ก็เป็นหนึ่งในนักเตะที่มีอิทธิพลต่อทีมยูไนเต็ดมากที่สุด หลังจากซัดไปด 6 ประตู จากการลงสนาม 3 นัด ซึ่งส่งผลให้เขาทำประตูรวมไปแล้ว 12 ลูก ก่อนที่จะมายิงเพิ่มได้อีก 2 ลูกในเกม ที่พบกับ วีแกน
ในวันที่ 2 ธันวาคม โรนัลโด้ ได้รับการประกาศให้รับรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของยุโรปเป็นอันดับ 2 รองจาก ริคาร์โด้ กาก้า เพลย์เมกเกอร์จอมทัพของ เอซี มิลาน ก่อนที่ถัดมาอีก 2 สัปดาห์ โรนัลโด้ ก็ถูกประกาศให้คว้ารางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของโลกอันดับ 3 รองจาก กาก้า อันดับ 1 และ ลีโอเนล เมสซี่ อันดับ 2 ตามลำดับ
โรนัลโด้ ยังคงโชว์ฟอร์มให้กับ ยูไนเต็ด ได้อย่างร้อนแรงต่อไป และเขาก็สามารถทำแฮตทริกแรกของเขากับ ยูเนเต็ด ได้ ในเกมที่ถล่ม นิวคาสเซิ่ล 6-0 ที่สนามโอลด์ แทร็ฟฟอร์ ในวันที่ 12 มกราคม 2008 และเป็นผลการแข่งขันที่ทำให้ ยูไนเต็ด ก้าวขั้นมาครองอันดับ 1 ของตารางพรีเมียร์ชิพได้สำเร็จ ขณะที่ฟอร์มการผลิตประตูของ โรนัลโด้ ก็ยังทำงานอย่างต่อเนื่องแบบไม่มีตก โดยตอนนี้ เขายิงประตูให้ทีมรวมไปแล้ว 23 ประตู เทียบเท่ากับ ในซีซั่นก่อน ก่อนที่ในที่สุด ในวันที่ 19 มีนาคม 2008 โรนัลโด้ จะสร้างสถิติเป็นนักเตะตำแหน่งมิดฟิลด์ที่ทำประตูได้มากที่สุดในหนึ่งฤดูกาล โดยทำลายสถิติเดิมของ จอร์จ เบสต์ อดีตดาวเตะระดับตำนานของ “ปีศาจแดง” ที่เคยทำไว้ที่ 32 ประตู ในระหว่างปี 1967-68
โรนัลโด้ ถูก เรอัล มาดริด ให้ความสนใจอีกครั้ง โดยคราวนี้ ทีม “ราชันชุดขาว” ประกาศพร้อมทุ่ม 100 ล้านปอนด์ (6,300 ล้านบาท) เพื่อคว้าตัว โรนัลโด้ ไปร่วมทีม แต่ทว่า ก็โดน ยูไนเต็ด ปฏิเสธหน้าหงายไปอย่างไม่ใยดี และในวันที่ 10 พฤษภาคม 2008 โรนัลโด้ สามารถยิงประตูสำคัญในเกมนัดสุดท้าย ที่พบกับ วีแกน ให้ทีมออกนำไปได้ 1-0 จากลูกจุดโทษ ซึ่งถือเป็นประตูรวมที่ 41 และประตูที่ 31 ในศึกพรีเมียร์ชิพ ของเขาแล้วในซีซั่นนี้ ก่อนที่จะมาบวกเพิ่มให้กับตนเองได้อีกหนึ่งลูกในนัดชิงชนะเลิศ ศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่เอาชนะ เชลซี มาได้ ด้วยการดวลจุดโทษ 6-5 ซึ่งถือเป็นถ้วยรางวัลใบทีสองของ ยูไนเต็ด หลังจาก ที่คว้าแชมป์ พรีเมียร์ชิพมาครองได้แล้ว ก่อนหน้านี้ ส่งผลให้ โรนัลโด้ มีสถิติการยิงประตูเป็นรอง รุด ฟาน นิสเตลรอย ที่ทำไว้ในปี 2002-2003 อยู่เพียง 2 ลูกเท่านั้น อย่างไรก็ตาม นั่นก็เป็นผลงานที่ดีพอที่จะทำให้ โรนัลโด้ คว้ารางวัล รองเท้าทองคำประจำฤดูกาล 2007-2008 มาครองได้สำเร็จ
อังเคล ดิ มาเรีย ประวัติส่วนตัว ก่อนค้าแข้งอาชีพ
อังเคล ดิ มาเรีย มีชื่อเต็มคือ อังเคล ฟาเบียน ดิ มาเรีย เอร์นานเดซ ( Ángel Fabián Di María Hernández) เกิดเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2531 ที่เมืองโรซาริโอ จังหวัดซานตาเฟ่ ประเทศอาร์เจนตินา น้ำหนัก 70 กิโลกรัม สูง 180 เซนติเมตร ซึ่งจุดเริ่มต้นการเล่นฟุตบอลของ อังเคล ดิ มาเรีย ได้รับแรงบันดาลใจในการเล่นฟุตบอลมาจาก มิกูเอล พ่อของเขาที่อดีตเคยเป็นนักฟุตบอลเยาวชน แต่ต้องล้มเลิกความอาชีพนี้เนื่องจากอาการบาดเจ็บเรื้อรังที่เข่า ทำให้ อังเคล ดิ มาเรีย รู้ดีว่าการเล่นฟุตบอลเท่านั้น ที่จะเป็นหนทางให้เขาประสบความสำเร็จในชีวิตได้
อังเคล ดิ มาเรีย เริ่มเล่นฟุตบอลตามที่แพทย์แนะนำเพื่อให้เขามีให้เล่นพละกำลังที่ดี เขาเริ่มต้นอาชีพนักฟุตบอลกับสโมสรเล็ก ๆ ในบ้านเกิด กระทั่งไปเตะตาแมวมอง จนถูกดึงตัวให้เข้าร่วมทีมกับสโมสร โรซาริโอ เซ็นทรัล ในปี พ.ศ. 2538 เพื่อแลกกับค่าตัวลูกฟุตบอล 30 ลูกให้กับสโมสรเดิม อังเคล ดิ มาเรีย อยู่กับสโมสรดังกล่าวจนได้เลื่อนชั้นจากทีมเยาวชนในปี พ.ศ. 2548 และเขาก็เข้าอยู่ในทีมชุดใหญ่ 2 ปี ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม จนกระทั่งมีโอกาสได้มาเล่นในยุโรปครั้งแรกในปี พ.ศ. 2550
อังเคล ดิ มาเรีย กับการเล่นในสโมสร เบนฟิกา
ในปี พ.ศ. 2550 ก่อนที่ อังเคล ดิ มาเรีย จะได้ย้ายไปที่สโมสรเบนฟิก้า เขาได้รับความสนใจจากสโมสร รูบิน คาซาน ในรัสเซีย และก็เกือบเซ็นสัญญากับที่นี่ แต่สุดท้ายก็ล้มเลิกความตั้งใจเสียก่อน นอกจากนี้ เขายังได้รับความสนใจจากสโมสร โบคา จูเนียร์ แต่สุดท้าย อังเคล ดิ มาเรีย ก็ตัดสินใจร่วมทีมเบนฟิก้า ด้วยค่าตัว 8 ล้านยูโร โดยการเซ็นสัญญาครั้งนี้ เพื่อเป็นตัวแทนของ ซิเมา ซาโบรซ่า อดีตกัปตันทีมที่ย้ายไปสโมสร แอตเลติโก มาดริด
อังเคล ดิ มาเรีย สามารถทำผลงานอันยอดเยี่ยมให้กับสโมสร จนสโมสรตัดสินใจที่จะต่อสัญญากับเขาในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2552 และเพิ่มมูลค่าการฉีกสัญญาที่ 40 ล้านยูโร ซึ่งหลังจากนั้น ดิเอโก้ มาราโดน่า ตำนานลูกหนังของอาร์เจนตินา ก็ถึงกับออกมายกย่อง อังเคล ดิ มาเรีย ว่าเป็นซูเปอร์สตาร์ลูกหนังของอาร์เจนตินาคนต่อไป
เขาอยู่ทีมจนถึงปี พ.ศ. 2552 และตัดสินใจย้ายไปทีม เรอัล มาดริด หลังจากที่ โชเซ่ มูรินโญ่ หัวหน้าโค้ชในขณะนั้น แสดงความสนใจอย่างมากที่จะต้องการดึงเขามาร่วมถิ่นซานติอาโก้ เบอร์นาเบว
เขาอยู่ทีมจนถึงปี พ.ศ. 2552 และตัดสินใจย้ายไปทีม เรอัล มาดริด หลังจากที่ โชเซ่ มูรินโญ่ หัวหน้าโค้ชในขณะนั้น แสดงความสนใจอย่างมากที่จะต้องการดึงเขามาร่วมถิ่นซานติอาโก้ เบอร์นาเบว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น